การศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตนมและผลิตภัณฑ์ภายหลังการเปิดตลาดตามข้อตกลงองค์การการค้าโลก

การศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตนมและผลิตภัณฑ์
ภายหลังการเปิดตลาดตามข้อตกลงองค์การการค้าโลก

The Study on the Change in Production Structure of Dairy and Dairy Products
After Thailand entered Market Trade Liberalization bound to the WTO Agreements

นางสาวยุภา   ชูดำ      นางวรางคณา  โตรส

บทคัดย่อ

                การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตนมและผลิตภัณฑ์นมของไทย ภายหลังการเปิดตลาดตามข้อตกลงองค์การการค้าโลก  เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ถึง 30 กันยายน 2550  โดยเก็บข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนมทั่วประเทศ ตั้งแต่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จำนวน 310 ราย  ศูนย์รวมนม จำนวน 117 ศูนย์ และโรงงานแปรรูป จำนวน 42 โรง  เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปสำหรับการวิจัยทาง สังคมศาสตร์ หรือ SPSS for Windows การอภิปรายผลการศึกษาใช้ค่าสถิติ ความถี่  ค่าเฉลี่ย   ค่าร้อยละ  ค่าต่ำสุด  ค่าสูงสุด และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 

                 จากการศึกษาพบว่า จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเพิ่มขึ้นจาก 17,190 ฟาร์ม ในปี 2537 เป็น 20,907 ฟาร์ม ในปี 2549  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.62 จำนวนโคนมเฉลี่ยต่อฟาร์มมีขนาดเพิ่มขึ้น คือ จาก 15.09 ตัวต่อฟาร์ม ในปี 2537 เป็น 34.41 ตัวต่อฟาร์มในปี 2549  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 128.03  ในขณะที่จำนวนแม่โคนมเฉลี่ยต่อฟาร์มก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน คือจากเดิม 8.41 ตัวต่อฟาร์ม ในปี 2537 เพิ่มขึ้นเป็น 18.66 ตัวต่อฟาร์ม ในปี 2549  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 121.88 สำหรับอัตราการให้นมเฉลี่ยต่อตัวพบว่า เพิ่มขึ้นจาก  6.73 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ในปี 2537 เป็น 10.65 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ในปี 2549 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.25 และเพื่อทำให้การจัดการฟาร์มและการผลิตน้ำนมเป็นระบบที่ควบคุมคุณภาพได้  ในปี 2542 กระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ได้ออกประกาศเรื่อง มาตรฐานฟาร์มโคนมและการผลิตน้ำนมดิบของประเทศไทย  โดยมีการวางแนวทางการปฏิบัติและการควบคุมดูแลภายในฟาร์ม องค์ประกอบฟาร์ม  การจัดการฟาร์ม การจัดการด้านสุขภาพสัตว์ การจัดการสิ่งแวดล้อม  การผลิต การเก็บรักษาและการขนส่งน้ำนมดิบ ตั้งแต่ปี 2543-2549 มีฟาร์มโคนมที่ผ่านมาตรฐานแล้ว จำนวน  3,619 ฟาร์ม  คิดเป็นร้อยละ 17.31 ของฟาร์มโคนมทั้งหมด 

                จำนวนศูนย์รวมนมเพิ่มขึ้นจาก 52 แห่ง ในปี 2537  เป็น  173 แห่ง ในปี 2549 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ  232.69 โดยแยกเป็นศูนย์รวมนมของสหกรณ์โคนม จำนวน 113 สหกรณ์ และศูนย์รวมนมเอกชน จำนวน 60 ศูนย์  หลังจากการเปิดตลาดเสรีตามพันธกรณีขององค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2538 ทำให้

              ศูนย์รวมนมมีการปรับตัว ปรับระบบการผลิตและควบคุมคุณภาพให้เข้มงวดยิ่งขึ้น  ในปี 2547 ได้มีการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต(GMP) ของศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และกรมปศุสัตว์ได้ทำการประเมิน GMP ของ ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบในภาพรวมพบว่ามีคะแนนประเมินเฉลี่ยร้อยละ 50.61  ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินเบื้องต้นที่กำหนดว่าศูนย์รวมนมต้องมีระดับคะแนน ประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 การประเมินมาตรฐานศูนย์รวมนมเป็น มาตรการหนึ่งที่ประกันคุณภาพน้ำนมดิบจากเกษตรกร นอกจากนี้ ศูนย์รวมและผู้ประกอบการแปรรูปได้จัดทำการบันทึกข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบ ล่วงหน้า (MOU) ระยะเวลาการทำข้อตกลงปีต่อปี  มีการระบุปริมาณรับซื้อต่อวันเป็นค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปีและระบุเงื่อนไขสิทธิ์ ประโยชน์ที่โรงงานแปรรูปจะได้รับเป็นสัดส่วนจากปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบ สำหรับการนำเข้านมผงขาดมันเนยและการจำหน่ายนม 

               ผู้ประกอบการแปรรูปรายใหญ่เพิ่มขึ้นจาก 7 ราย ในปี 2537 เป็น 11 ราย ในปี 2549 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.43  เช่นเดียวกันกับที่สหกรณ์โคนมที่มีโรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นจาก 12 รายในปี 2537 เป็น 14 รายในปี 2549 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.67  ในขณะที่สถาบันการศึกษามีโรงงานแปรรูปลดลงจาก 53 แห่ง ในปี 2537 เหลือเพียง 18 แห่ง ในปี 2549 หรือลดลงร้อยละ 66.04

               ปริมาณการผลิตนมพร้อมดื่มและปริมาณการนำเข้านมผงของ โรงงานแปรรูปเพิ่มขึ้นกล่าวคือ  ปริมาณการใช้น้ำนมดิบของโรงงานมีจำนวน  275,677 ตันในปี 2536 และเพิ่มขึ้นเป็น 308,058 ตัน ในปี 2537  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ  11.75  โดยในช่วงปี 2536-2537 ปริมาณการใช้น้ำนมดิบของโรงงานแปรรูปมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.55 ต่อปี โดยปริมาณการใช้น้ำนมดิบเฉลี่ยปีละ 291,863 ตัน ต่อมาหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกWTO ในปี 2538  ปริมาณการใช้น้ำนมดิบของโรงงานแปรรูปมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 6.67  ต่อปี โดยมีปริมาณการใช้เฉลี่ยปีละ 563,207 ตัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณการใช้น้ำนมดิบเฉลี่ยก่อนที่ไทยจะเข้าเป็นสมาชิก ถึงร้อยละ 92.97  

                สำหรับปริมาณการผลิตนมพร้อมดื่ม พบว่า ปริมาณการผลิตนมพร้อมดื่มในช่วงก่อนที่จะเข้าเป็นสมาชิก WTO (ในช่วงปี 2530-2537) มีปริมาณการผลิตเฉลี่ยปีละ 243,830 ตัน และมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 14.81 ต่อปี  และหลังจากที่เข้าเป็นสมาชิก WTO (ในช่วงปี 2538-2549) ปริมาณการผลิตนมพร้อมดื่มเฉลี่ยปีละ  647,764.67 ตัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณการผลิตเฉลี่ยก่อนที่ไทยจะเข้าเป็นสมาชิก ถึงร้อยละ 165.66 โดยมีอัตราการขยายตัวของการผลิตนมพร้อมดื่มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.03 ต่อปี

                ส่วนปริมาณการนำเข้านมผงขาดมันเนย พบว่า อัตราการขยายตัวของการนำเข้านมผงขาดมันเนยในช่วง ปี 2538-2549 มีอัตราการขยายตัวลดลงเฉลี่ยปีละ 1.49  ซึ่งแตกต่างจากในช่วง 2530-2537 ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ไทยเข้าเป็นสมาชิก WTO  ที่มีอัตราการขยายตัวของการนำเข้านมผงขาดมันเนยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 7.73 โดยการนำเข้านมผงขาดมันเนยในช่วงปี 2530-2537 มีปริมาณการนำเข้าเฉลี่ยปีละ 50,393.13 ตัน ซึ่งต่ำกว่าในช่วงหลังการเข้าเป็นสมาชิก WTO (ในช่วง 2538-2549 ) ที่มีปริมาณการนำเข้าเฉลี่ยปีละ  66,138.00 ตัน

คำสำคัญ : โครงสร้างการผลิตนม, โครงสร้างผลิตภัณฑ์นม


สำนักส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์